ภูกระดึง 3 วัน 2 คืน

อันนี้เป็นการเขียนรีวิวท่องเที่ยวครั้งแรกเลยครับ ไปเที่ยวภูกระดึงมาครับ 3 วัน 2 คืน 
ใช้ชื่อทริปว่า”แบกเป้ขึ้นไหล่ พักใจที่ภูกระดึง”
เนื่องจากก่อนไปเที่ยวอ่านของคนอื่นแล้วตื่นเต้นมากๆเลยคิดว่าพอกลับมาต้องเขียนแบ่งปันบ้าง อิอิ 
ผมจองที่พักล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนครับ จองบ้านพักนาคราชไว้ (รายละเอียดจะบอกอีกทีเนอะ)
ส่วนรถทัวร์ผมจองล่วงหน้า 1 สัปดาห์ ผ่านเวป thairoute ขึ้นที่หมอชิตลงที่ผานกเค้า มีให้เลือกหลายบริษัท 
-    บขส. มีทั้ง VIP และ ป 1 (ปกติไม่มีจุดจอดที่ผานกเค้า แต่เราสามารถบอกคนขับให้จอดได้ ไม่แนะนำให้โทรไปถามสายด่วน บขส 1490 เค้าจะบอกว่าไม่มีจุดจอดที่ผานกเค้านะครับเสียเวลาผมมาก แต่ให้โทรไปที่ช่องขายตั๋วที่หมอชิตสายอีสานแทน เบอร์หาได้ในเวป บขส เลยครับ เค้าจะบอกว่าจอดที่ผานกเค้า)
-    แอร์เมืองเลย อันนี้จอดที่ผานกเค้าแน่นอน มีทั้ง VIP และ ป 1 
-    ภูกระดึงทัวร์ มีแต่ ป 1 40 ที่นั่ง อันนี้ก้อจอดแน่นอนเหมือนกันครับ (ตอนผมไปผมไปกับบริษัทนี้แหละครับ เปิดแอร์หนาวมาก หนาวกว่าข้างนอกอีก)

 


ผมขึ้นรถภูกระดึงทัวร์เที่ยว 21.30  ถึงผานกเค้า ตี 5 กว่าๆ อ่ะครับยังมืดๆอยู่เลย รถทัวร์จะจอดฝั่งตรงข้ามร้านเจ๊กิม

 


ลงมาถึงก้อหาซื้อพวกหมวก ถุงมือ ผ้าพันคอ ที่ร้านฝั่งตรงข้ามเจ้กิมมีขายครบครับไม่ต้องหามาเลย ราคาไม่แพงมาก
หลังจากนั้นก้อไปกินข้าว ล้างหน้า แปรงฟันกัน ที่ร้านเจ๊กิม อาหารรสชาติจืดหน่อยนะครับ ห้องน้ำก้อไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผม
แนะนำให้นั่งรถไปที่ทำการอุทยานเลยดีกว่าที่นั้นห้องน้ำ ห้องส้วมดีกว่าเยอะ มีรถสองแถวสีแดงจอดฝั่งร้านเจ้กิมอ่ะครับ คนละ 30 บาท 10 คน

 

 


อากาศกำลังเย็นสบายเลยครับ ไม่ถึง 20 นาทีก้อถึงที่ทำการอุทยานแล้ว

 

 


นี่ไงครับ พูดปั๊ปถึงปุ๊ป มาถึงก้อจัดการเรื่องที่พัก บัตรเข้าอุทยานคนละ 40 บาท มัดจำบรรจุภัณฑ์ แล้วแบ่งสัมภาระที่จะจ้างหาบเลยครับ กลุ่มผมมากันเจ็ดคน จ้างหาบทุกคน อย่าไปอายครับ เอาแต่ตัวไว้ก่อนดีกว่าเก็บแรงไว้เที่ยว

 


กระเป๋ากี่ลูกๆ จ้างหมดครับ

 


ซื้อป้ายติดกระเป๋าใบละ 5 บาท ค่าลูกหาบกิโลละ 30 บาทครับ ถือว่าไม่แพงเลยถ้าเห็นทางที่เค้าต้องแบก

 


ศึกษาข้อมูลก่อนขึ้นครับ แต่ตอนซื้อตั๋วเค้าก้อให้แผนที่อันเล็กมานะครับ อยู่ในแผ่นพับอ่ะครับเก็บติดตัวไว้ด้วยอย่าเอาไปวางไว้ไหนล่ะ ช่วยนำเที่ยวได้อยู่ครับ

 


วนเวียนอยู่แถวนี้นานแล้วครับ อยากขึ้นแล้วเนี่ยรอฤกษ์งานยามดีอยู่ครับ

 


ถ่ายรูปกันให้เรียบร้อยขณะที่หน้ายังสดใสกันอยู่นะครับ พอขึ้นแล้วหน้าจะเริ่มเปลี่ยนไปนะครับ

 


อ่านป้ายทางขึ้นแล้วฮึกเหิมมากครับ ตรงนี้ด่านตรวจบัตรผ่านครับที่ซื้อมาอ่ะ

 


ไหว้พระก่อนขึ้นครับ จะได้ประสบแต่โชคดี

 


ท่องไว้ให้ขึ้นใจครับ เด่วเดินได้สักพักก้อลืม


ลาก่อนทางราบ(ซ้าย) เริ่มแล้วๆ ชันขึ้นทีละนิดๆ(ขวา)

 


เดินมาสักพักก้อถึงซำแฮกแล้วครับ ที่ชื่อซำแฮกเพราะว่าใครขึ้นมาถึงก้อต้องหอบ แฮกๆ นี่เรื่องจิง แฮกๆ

 


ระหว่างทางก้อเก็บรายละเอียดกันหน่อย ผมขออนุญาติไปคุยงานกับ อ ก่อนนะครับ เด่วมารีวิวต่อให้ครับ


มาถึงซำกกโดนแล้วครับ ที่นี้มีบ้านพักเจ้าหน้าที่อุทยานอยู่ มีร้านค้าเยอะแยะ แถมมีห้องน้ำที่เป็นเรื่องเป็นราวกว่าซำอื่น


ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงครับ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง เดินกันเรื่อยๆ อากาศข้างบนมีแดดครับ
ภาพนี้ไม่ได้ถ่ายเองนะครับ พอดีพวกผมไม่มีรูปป้ายเดี่ยวๆ เลยเอาในเวปมาครับ

 

 


ถึงหลังแปแล้วก็ต้องเดินต่อไปที่พัก(ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง)อีก 3 กิโลกว่าๆ ทางราบครับ สภาพข้างทางเป็นป่าสน เฟิร์น ประมาณนี้ครับ ตอนนี้เท้าเริ่มประท้วงให้หยุดเดินแล้วครับ


เดินต่อครับ คงใกล้ถึงแล้ว เหล่าลูกหาบก็เข็นสัมภาระทางนี้ครับ


ถึงแล้วครับ ตอนนั้นประมาณบ่าย 3 ครับ อากาศกำลังดีเลย 
หลังจากนั้นพวกผมก็เอาใบจองที่พักไปแลกกุญแจครับ เจ้าหน้าที่ก็จะบอกข้อมูลนิดๆหน่อยๆครับ 
หลังจากรับกุญแจแล้วอย่าลืมไปเอาสัมภาระที่ลูกหาบนะครับ เค้าจะคอยเราอยู่ที่ศาลา จ่ายตังค่าหาบแล้วเอากระเป๋าไปเลยครับ


พวกผมพักกันที่บ้านนาคราชครับ เป็นที่พักสำหรับ 12 คน 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีน้ำอุ่น (ที่พักแบบนี้มี 3 หลังด้วยกัน) 
ถ้าดูในแผนที่ในเวปไซต์อุทยาน บ้านที่พักจะอยู่ไกลความเจริญที่สุด ผมเห็นทีแรกนึกว่าไม่ไกลมาก แต่พอมาเจอของจิง โอโห้ เหมือนอยู่ต่างอำเภอเลยครับ ต้องเดินข้ามลำธารไปนิดนึงก่อน เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่อุทยานก็ไม่ค่อยได้ยิน ถ้ามาทริปไม่กี่คนผมแนะนำให้พักใกล้ๆความเจริญหน่อยนะครับ


ด้านในก็โอเคเลยครับ ความจิงก็อยากนอนเต๊นให้เข้าบรรยากาศเหมือนกันครับ แต่ไปหลายคนเลยเลือกเป็นบ้านดีกว่าจะได้เป็นส่วนตัว 
น้ำอุ่นในบ้านพักเป็นแบบแก๊สนะครับ มีผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวให้ ไฟส่องสว่างเปิดให้เฉพาะ 6 โมงเย็น - 4 ทุ่ม ใครจะทำกิจกรรมอะไรก็รีบทำให้เสร็จก่อนนะครับ


หลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จกันแล้ว ประมาณ 4 โมงกว่าๆพวกผมกะจะออกเที่ยวที่ใกล้ๆครับ
ตามกำหนดการของผมวันนี้ต้องดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูด แต่คุณป้าแม่ค้าบอกไปป่านนี้ไม่ทันแล้วลูก 
พวกเราก็เลยไปไหว้พระที่ลานพระศรีนครินทร์แทนครับ


ไหว้พระเป็นสิริมงคลสำหรับการมาพักแรมในต่างถิ่นกันก่อนครับ
บรรยากาศยามเย็นค่อนข้างจะหนาวแล้วครับ หมอกเริ่มลง และอย่าลืมพกไฟฉายติดตัวไว้ด้วยนะครับ 
เผื่อขากลับแสงสุดท้ายของวันในฤดูหนาวจะลับขอบฟ้าเร็วกว่าฤดูอื่นนะครับ


กลับมาถึงบริเวณที่พักก็มืดพอดีครับ ท้อก็เริ่มประท้วง พวกเราจึงหาร้านข้าว ซึ่งพวกเราเลือกร้านที่ใกล้บ้านพักเรามากที่สุด คือ ร้านธิดาน้อย จึงจัดอาหารตามสั่งมาคนละจาน รสชาติค่อนข้างเค็ม สงสัยเป็นเพราะคนแถวนี้อยู่ไกลทะเลเลยต้องเสริมไอโอดีนครับ แม่ค้าบนภูทุกคนดูใจดี และพูดจาเป็นกันเองมากครับ

 


รูปนี้เป็นบริเวณเต็นเช่าของอุทยานครับ
สำหรับที่ชาร์ตมือถือนะครับ สามารถชาร์ตได้ที่ ศุนย์บริการ เค้าคิด 20 บาท 2 ชั่วโมงครับ ก็คือเต็มนั้นแหละ หรือชาร์ตที่ร้านข้าวที่เราไปกินก็ได้ครับ ราคาเท่ากัน บางร้านก็ชาร์ตฟรี

 


เช้าวันที่ 2 พวกผมตื่นกันตั้งแต่ตี 4 แนะ เจ้าหน้าที่จะนัดเจอที่ศุนย์บริการเพื่อนำทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นครับ  ใช้เวลาเดินไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ อย่าลืมไฟฉายนะครับทางมันมืด


รอนานแล้วครับยังไม่ขึ้นซักที งั้นก็ถ่ายรูปพลางๆ


นี่ครับป้ายผานกแอ่น คนถ่ายคือช่างภาพสาวสวยของเราเอง


จับจองพื้นที่กันได้เลยครับ ช่วงที่พวกผมไปคนน้อยครับ ถ้าเป็นช่วงธันวาคงคึกคักกว่านี้ครับ


เต็ม 2 ตาครับ แสงแรกของเช้าวันใหม่ บรรยายไม่ถูกเลยครับ อากาศเย็นสบาย ลมพัดอ่อนๆ ต้นหญ้าพริ้วๆ


โอเคครับ แสงเริ่มจ้าแล้วพวกผมก็เริ่มเดินกลับ ขากลับคนละทางกับขามาครับ จะแวะไหว้พระที่ลานพระแก้วด้วย

 


แสงกำลังสวยเลยครับ ช่างภาพเราใช่ย่อยนะเนี่ย(แอบชม)


ลานพระแก้วครับ


ระหว่างทางกลับครับ


มื้อเช้ามื้อแรกบนภู ผมเลือกกินร้านฝั่งตรงข้ามกับร้านเมื่อวาน ชื่อร้าน"ปักษ์ใต้พี่ธรรม" (ที่ชี้ในรูปครับ) เจ้าของร้านชื่อพี่จุ๊บ คุยเก่ง และใจดีมากๆๆๆๆๆ อาหารรสชาติอร่อย ลืมบอกครับ ราคาอาหารตามสั่งบนภูจานละ 60 บาทครับ เพิ่มไข่ดาว 10 บาท แก๊งค์ผมเลยซื้อข้าวเหนียวหมูทอดไว้กินมื้อเที่ยงที่ร้านนี้เลยครับ ชุดละ 60 บาท (ร้านไหนก็ราคาเท่ากันครับ)


นี่คือ กวาง ครับ มายืนขออาหารจากนักท่องเที่ยวประจำ มันชอบกินมาม่าครับ ดูอวบอ้วนมาก ถ้าเสือวิ่งไล่ไม่รู้มันจะวิ่งหนีทันหรือป่าว


พวกผมทำภารกิจเสร็จกันตอน 9 โมงครับ วันนี้ตามกำหนดการคือจะไปเที่ยวน้ำตกต่างๆ สระอโนดาด ผาต่างๆ และดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักครับ ทีแรกก็จะเดิน แต่เปลี่ยนใจอยากปั่นจักรยานแทน จึงไปเช่ามาเลยครับ 7 คัน คันละ 360 เค้าจะถามเราว่าจะไปไหนถ้าไปผาหล่มสักก็ราคานี้ ขากลับเค้าจะมีไฟฉายให้เอาไว้ส่องทางครับ โดยจะมีเส้นทางสำหรับขี่จักรยาน และมีเจ้าหน้าที่ดูแลจักรยานให้ตามจุดจอดต่างๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องโซ่หลุดยานแบนครับ เจ้าหน้าที่จัดการให้หมด 
จักรยานที่ใช้เป็นแบบภูเขามีเกียร์และโช๊คด้วย


ออกเดินทางไปเที่ยวน้ำตกก่อนเลยครับ เส้นทางก็ขึ้นเนินบ้างขรุขระบ้างครับ


ต้นไม้เกรียมๆข้างทาง โดนไฟป่าเมื่อหน้าร้อนครับ


พอถึงจุดจอดก้อจักรยาน ก็เดินลงไปน้ำตกครับในภาพคือน้ำตกถ้ำใหญ่ ถ้าจะไปน้ำตกอื่นๆก็สามารถเดินต่อไปทางนี้ได้นะครับ แต่พวกผมอยากปั่นจักรยานเที่ยวมากกว่า เลยขึ้นกลับมาทางเดิมครับ

 


ก่อนที่จะขึ้นปั่นจักรยานเพื่อไปสระอโนดาด พวกผมลองเดินไปน้ำตกธารสวรรค์ซึ่งอยู่ถัดไปนิดนึง ลักษณะเป็นลำธารอ่ะครับ ยังกะอยู่ในดินแดนเทพนิยายเลยครับ เนื่องจากบนพื้นดินปกคลุมด้วยพืชสีเขียวที่มีลักษณะเหมือนตะไคร่น้ำ (ไม่รู่เค้าเรียกว่าอะไร)  สวยมากครับ

 


ปั่นมาสัก 2 โล ก็ถึงสระอโนดาดแล้วครับ ใครที่ปั่นไม่ค่อยชำนาญ ทางลงเขาต้องค่อยๆลงนะครับทาง
ขรุขระมากเด่วจะล้มเอาได้ครับ

 


สระอโนดาด มีลักษณะเป็นบึงน้ำขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีจุดที่ถ่ายรูปสวยอยู่หลายจุด พวกผมแวะที่นี่กันไม่นานครับก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายคือผานาน้อยครับ สำหรับบางท่านอาจจะเดินทางเที่ยวเส้นทางน้ำตกแต่พวกผมกะจะเที่ยวเส้นทางเลียบผาครับ


เส้นทางไปผานาน้อย ตอนนั้นข้าวเหนียวหมูทอดในกระเป๋าใกล้จะโดนแกะแล้วครับ แต่อดทนปั่นอีกสักนิด ไปกินเที่ยงพร้อมชมบรรยากาศที่หน้าผาครับ

 


ในที่สุดก็มาถึงครับ บรรยากาศดีมาก มีร้านค้า 2 ร้าน มีข้าวขาย มีห้องน้ำ พวกผมก็นั่งกินข้าวเที่ยง พักเหนื่อย เติมเสบียงที่ร้านค้านี่แหละ ราคาอาหารเท่ากันตลอดทางเลยครับ เพราะฉะนั้นหิวที่ไหนแวะที่นั้นได้เลย


พักบ้างครับ ผาหล่มสักอีกไกล เส้นทางก็โหดมากขึ้นเขาอย่างเดียว บางที่ต้องลงเดินจูงจักรยานกันเลย


ผ่านผาเหยียบเมฆ ผาแดง ครับ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปครับ อีกอย่างยังไม่ได้รูปจากคนอื่นๆด้วยครับ ถ้ามีรูปใหม่จะเอามาอัฟเดทนะครับ


หลังจากที่ปั่นกันมาร่วม 5 กิโลเมตร ในที่สุดก็มาถึงผาหล่มสักจนได้ ถึงประมาณบ่าย 4 โมงครับมารอดูพระอาทิตย์อัสดง จอดจักรยานให้เรียบร้อย เด่วขากลับเจ้าหน้าที่เค้าจะเอาไฟฉายมาแขวนไว้กับจักรยานให้นะครับ


ภาพบนเป็นร้านขายของที่ระลึก ภาพล่างเป็นร้านอาหาร ห้องน้ำหลังอยู่ด้านหลังนะครับ
จะเห็นว่าร้านค้าแถวนี้ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าด้วยครับ ไฮเทคมาก 
พวกผมยืมเสื่อจากร้านขายของที่ระลึกเอาไว้ปูนั่งรอพระทิตย์ตก ตอนกลับก็อย่าลืมเอามาคืนเค้าด้วยนะครับ

 


ต่างคนต่างถ่ายรูปรอชมพระทิตย์ตกครับ


รอนานแล้วยังไม่ตกครับ พี่จุ๊บที่ร้านข้าวบอกว่าบางวันถ้าเมฆเยอะอาจจะไม่เห็น

 


ดูท่าวันนี้จะไม่เห็นพระอาทิตย์ตกซะแล้วครับ เฮ้อ เซ็งเลย งั้นก็ถ่ายรูปกับสัญลักษณ์ของที่นี่แล้วกลับดีกว่าครับ

 


พอรู้ว่าวันนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกพวกผมก็รีบกลับที่พักกันเลยครับ ตอนนั้นยังสว่างอยู่เลย ก็เหมือนเดิมครับขึ้นจักรยานคู่ใจ เอาไฟฉายคาดไว้ที่หัว
จะมีเจ้าหน้าที่นำขบวนและปิดขบวนครับ เนื่องจากเส้นทางเลียบผาค่อนข้างอันตราย ตอนพวกผมออกเดินทางก็ไม่มีเจ้าหน้าที่นำหรอกครับเนื่องจากยังไม่มืด พอขี่ไปได้ซักพักสังเกตุเห็นเจ้าหน้าที่ขี่ตามมาคนนึง (สงสัยคงเห็นว่าทีมงานเราน่าจะไปไม่รอด) ก็ขี่กันไปเรื่อยๆครับ เป็นทางลงเขาส่วนใหญ่เลยสบายหน่อย ไปแวะพักครั้งนึงที่ผาเหยียบเมฆ แม่ค้าเค้าย่างมันเผาไว้ร้อนๆพอดีพวกผมเลยจัดไป 1 ชุด 
สำหรับคนที่เดิน หรือกลับช้า ขากลับก็ไม่ต้องกลัวอดนะครับ มีร้านค้าทุกผาครับ

 


เช้าสุดท้ายบนภูกระดึงครับ ผมตื่นตั้งแต่ตี 5 จัดกระเป๋าเพื่อจ้างลูกหาบตามที่เจ้าหน้าที่ด้านล่างแนะนำ แต่ลูกหาบเริ่มทำงาน 7 โมงแนะครับ ผมงงเลย แต่ถ้าเราเอาไปให้เค้าเร็วกระเป๋าเราก็จะถึงข้างล่างเร็วครับ ยิ่งช่วง hi season  ยิ่งต้องรีบตื่นเลยครับ

 


บรรยากาศดีๆหน้าบ้านพักครับ ไม่อยากคืนกุญแจเลย มื้อสุดท้ายบนภูพวกผมก็กินร้านเดิมอีกแหละครับ กินจนสนิทกะแม่ค้าแล้ว หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ออกเดินทางไปหลังแปครับ

 


ผมพยายามจดจำภาพสวยๆบนภู และสูดอากาศบริสุทธิ์ให้มากที่สุด ก่อนที่จะต้องไปเจอการเรียนที่หนักหน่วงในวันพรุ่งนี้

 


บรรยากาศแบบว่าเหงาๆครับ เพื่อนร่วมทริปเดินคุยเรื่องไม่อยากกลับอย่างนู้นอย่างนี้ตลอดทางไปหลังแปเลยครับ พวกเราเดินฝ่าเมฆหมอกกันไปเรื่อยๆ จนถึงหลังแป โดยไม่เหนื่อยเลยครับ

 


ในความเห็นของผม ผมว่าทางลงโหดกว่าทางขึ้นอีกครับ เพราะทางลงเราต้องใช้ปลายเท้าจิกพื้นดินไว้ ทำให้ยิ่งเดินยิ่งเจ็บครับ เพื่อนผมบางคนถึงกับวิ่งลงเลยครับ อย่าทำตามนะครับอันตราย

 


แวะพักที่ซำแคร่ครับ ไม่รู้สาวๆติดใจอะไรนักหนากับลูกกลมๆนี้ ลูกเสาวรสครับ กินกันคนละลูกสองลูกเลย

 


ถึงปลายทางโดยปลอดภัยครับ ใช้เวลาเร็วกว่าขาขึ้นมาก กลับลงมาก็เอาบรรจุภัณฑ์ที่มัดจำมาคืน รับกระเป๋าที่ลูกหาบ แล้วก็อาบน้ำซะที่นี่เลยครับ ห้องน้ำสบายมาก แล้วก็ขึ้นรถแดงกลับไปที่ผานกเค้าเพื่อรอรถทัวร์ครับ ปิดทริปโดยปลอดภัย

 

สรุปนะครับ
- เอาเงินไปเยอะๆครับ ได้ใช้แน่นอน 
- นอกจากของใช้ส่วนตัว ยารักษาโรคแล้ว อย่าลืม ไฟฉาย กับ สเปรย์ตะไคร้หอม(กันทากได้จิงครับ ฉีดใส่ทากทีเดียวนอนแน่นิ่งเลย)
- ข้าวสาร อาหารแห้ง ไม่ต้องเอาไปก็ได้ครับ ข้างบนมีขายหมดทุกอย่าง
- จองตั๋วรถขากลับไว้ตั้งแต่ก่อนขึ้นภูก็จะดีมากนะครับ จะได้สบายใจ (ขากลับก็เหมือนเดิมมี 3 บริษัท)
- พยายามอย่าหักโหมเกินกำลังตัวเองนะครับ เด่วจะปวดตัวแล้วเที่ยวไม่สนุก
- ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วยการออกกำลังกายก่อนไปสัก 2 อาทิตย์
- ตอนไปจิงอาจจะไม่เป็นไปตาแผนที่วางไว้ก็อย่าไปซีเรียสนะครับ
- เที่ยวด้วยความระมัดระวัง ทั้งทางกาย วาจา ใจ นะครับ

 

 

ที่มา : http://pantip.com/topic/31203310/story